ผ้าหม้อห้อม
เป็นผ้าพื้นเมืองที่สำคัญของจังหวัดแพร่ และชาวบ้านตำบลทุ่งโฮ้ง
ใช้ผ้าฝ้ายที่ได้จากการทอย้อมด้วยสีครามที่ได้จากต้นห้อมหรือต้นคราม
จะได้ผ้าสีเดียวกันตลอดทั้งผืน
ผ้าห้อมห้อม
เป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความงามทางวัฒนธรรมการแต่งกายของคนเมืองแพร่อย่างแท้จริง บ่งบอกถึงความเป็นชาติพันธุ์ที่มีประวัติศาสตร์
ที่สืบทอดจากบรรพบุรุษชาวไทยพวน บ้านทุ่ง- โฮ้งมาอย่างยาวนาน
หม้อห้อม พืชของโลก ห้อมห้อมดีที่เมืองแพร่
หม้อห้อม พืชของโลก
แม้ว่าการย้อมสีครามแพร่หลายในภูมิภาคของโลกนั้นมานับพันปีแล้ว
วิธีการที่ใช้ก็คล้ายคลึงกัน แต่ก็มีการสันนิษฐานกันว่า
ที่เมืองแพร่นั้นการทำผ้าหม้อห้อมติดตัวมากับผู้คนที่อพยพเข้ามาในเมืองแพร่ด้วยเหตุของสงคราม
ซึ่งก็มีการกวาดต้อนผู้มาเพื่อให้เป็นกำลังการผลิต จนมีคำเปรียบเปรยว่า “เก็บผ้าใส่ซ้า
เก็บข้าใส่เมือง” เพราะเมืองแพร่นั้นเป็นเมืองที่มีประชากรน้อย
ต้องการแรงงานเพิ่มเพื่อการผลิต
การอพยพนั้น น่าจะอยู่ 2 – 3 ช่วง
ในราวรัชสมัยของพระเจ้ากรุงธนบุรี
โดยเจ้าเมืองใจ๋ผู้ปกครองนครแพร่ก็ได้เชื้อสายไทลื้อมาจากเชียงแสน
นำมาสร้างถิ่นฐานไว้ที่บ้านพระหลวงและช่วงรัชสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ที่สยามส่งกองทัพไปถึงพวนมาไว้ที่ทางทิศเหนือของเมืองแพร่
คือ บริเวณวัดสวรรคนิเวศน์ ซึ่งภายในก็ย้ายไปบ้านไทยพวนทุ่งโฮ้งปัจจุบัน
คนทั้งสองเชื้อสายนั้นมีความชำนาญในการย้อมสีคราม
จากพืชพรรณธรรมชาติ 3 ชนิด คือ คราม ห้อม และห้อมเครือ จึงมีการทอ ตัดเย็บ ย้อมเสื้อผ้าสีครามออกมาใช้เป็นเสื้อผ้าทำงานในเรือนสวนทุ่งนา
ก่อนมาถึง พ.ศ.2546 ความหลากหลายของหม้อห้อมก็อยู่ที่กรรมวิธีการย้อมเย็นก่อนต่อด้วยการ “ชุบน้ำ” (ภาษาเฉพาะคนขายของหม้อห้อม หมายถึง
การย้อมร้อนด้วยเคมีทับ) ผู้ย้อมแต่ละคนก็มีเทคนิคเฉพาะตัว รูปแบบเสื้อผ้าปรับจากเสื้อกุยเฮง
เตี่ยวสะดอ ขาก๊วย เป็นเชิ้ต 2 กระเป๋า 4 กระเป๋า เป็นกางเกงหูรูด มรการตกแต่งลวดลายด้วยวิธีต่างๆ เช่น ผ้าบาติกของมัง
หรือ ผ้าตีนจก ผ้าทอพื้นเมือง
เตี่ยวสะดอ
ที่มา : http://www.nanagarden.com/Picture/Product/200/188367.jpg (2557)
ในปี 2547 หลายหน่วยงานทั้งราชการและเอกชนสนใจเรื่องหม้อห้อมเป็นอันมาก
มีการส่งเสริมสารพัด เพื่อพัฒนาคุณภาพ พัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน
เรื่องหม้อห้อมพัฒนาระบบการจัดการ ส่งเสริมการรวมกลุ่มเพื่อการผลิตที่มีคุณภาพรวมทั้งการส่งเสริมการปลูกหม้อห้อม
ในพื้นที่ประสบอุทกภัย ในปี 2549
การส่งเสริมสารพัดด้านเหล่านี้
ทำให้ผลิตภัณฑ์หม้อห้อมมีความหลากหลายมากขึ้น มีสีสันอื่นๆ
เข้ามาประกอบกับสีโทนคราม น้ำเงิน ไม่เฉพาะเสื้อผ้า แต่กลายเป็นของใช้ เป็นหมอน เป็นเบาะ
ม่าน วัสดุตกแต่งภายในต่างๆ
จะเป็นด้วยคุณสมบัติของผ้า
ด้านความทนทาน หรือด้านราคาหาซื้อง่าย
หรือด้านความเชื่อว่าใส่ผ้าย้อมครามแล้วไม่มีกลิ่นอับ ก็ตาม
หม้อห้อมแพร่ก็โด่งดังไปทั่วประเทศ จนมีคำกล่าวว่า “ใครมาเมืองแพร่ต้องซื้อหม้อห้อม”
ด้วยคุณสมบัติทางไหนก็แล้วแต่
ผ้าหม้อห้อมซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของชาวแพร่นั้น ทำหน้าที่สื่อโฆษณามาแล้วหลายวงการ
แทนที่จะเป็นเสื้อยืด ก็นำเสื้อหม้อห้อมประยุกต์เหล่านั้นมาสกรีนหรือวาดรูประบายสี
หรือเขียนคำขวัญ คำคม ชื่อร้าน ชื่อกลุ่ม ชื่อทีมกีฬา ชื่อผู้สมัคร สส. สจ.
ดังนั้นเมื่อตลาดกว้างขวางขึ้น
การแข่งขันด้านตลาดสูงขึ้น การผลิตที่สะดวกสบายขึ้น
ทำให้วิธีการผลิตแบบเดิมสูญหายไป
ที่มา : http://www.nanagarden.com/Picture/Product/400/214596.jpg (2557)
จากการใช้ครามเปียกที่ได้จากต้นห้อม
ต้นครามที่ปลูกกันเองทำเป็นสีย้อมเอง ก็กลายเป็นครามที่มีพ่อค้าใส่กระป๋องมาขาย
ถึงช่วงหนึ่งก็เปลี่ยนเป็นครามเกล็ดที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ เป็นถังใหญ่
แบ่งขายเป็นกิโลกรัม ส่วนพัฒนาการด้านน้ำด่างต่างๆนั้น ที่เคยได้จากเถ้าในครัว
ก็กลายเป็นขุดหัวกล้วย ต้นผักโขมหวาน ฯลฯ มาตากแห้งแล้วเอาขี้เถ้า มาช่วงหลังสุดเป็นด่างที่เป็นรูปผงขาวๆ
จากโรงงานอุตสาหกรรม
ไม่ว่าจะเป็นหม้อห้อมแบบย้อมธรรมชาติหรือแบบประยุกต์ย้อม
ประยุกต์ท่อ ประยุกต์ตัด ต่างก็เป็นของแท้เฉพาะตน ที่ไม่ปลอมแปลงยี่ห้อของใคร
นี่คือรูปแบบที่พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งของหม้อห้อมเมืองแพร่ เพื่อสนองความต้องการของผู้ใช้ได้มากขึ้น
ไม่ว่ายังมีคำสับสนระหว่างคำว่า หม้อห้อม ม่อฮ่อม อยู่ก็ตาม
หม้อห้อม คนแพร่ทำเนื้อครามได้จากพรรณไม้ 3
อย่างนี้
1. ต้นเบิก(ห้อมเครือ)
- ใบกว้าง
เป็นเถา
- ชอบที่ชุ่มชื้น
2. ต้นห้อม
- ใบกว้าง
- ชอบที่ชุ่มชื้น
3. ต้นคราม
- มีใบย่อม
- ทนแล้งได้
หลังจากฟ่อนครามชุดที่ 2
เปื่อย และถูกบีบน้ำออกแล้ว น้ำที่เหลือจะมีกลิ่นเหม็นเพิ่มขึ้น และมีสีออกฟ้าๆ
จากนั้นจึงนำปูนเคี้ยวหมากมาตีลงในน้ำจนกระทั่งน้ำเป็นฟอง
และกลิ่นจากเหม็นกลายเป็นหอม ปริมาณของปูนเคี้ยวหมากที่ใส่ลงไป
ขึ้นอยู่กับความชำนาญของผู้ย้อม หลังจากนั้นก็จะกลายเป็นสีน้ำเงินแก่
จะทิ้งภาชนะนี้ไว้อีก 2 วัน ให้ตกตะกอน
เมื่อต้นครามใช้การได้
ชาวบ้านจะจัดต้นครามที่ปลายต้นแล้วนำมาม้วนละมัดเป็นฟ่อนๆ
จากนั้นนำไปแช่ไว้ที่ภาชนะที่ใส่น้ำเตรียมไว้จนใบครามเปื่อย โดยแช่ไว้ 1
วันก่อน แล้วพลิกฟ่อนครามกลับด้านแช่อีก 1 วัน หลังจากนั้นบีบฟ่อนครามแล้วเอาไปทิ้ง
น้ำที่เหลือในภาชนะจะมีสีเขียว และกลิ่นเหม็น
จากนั้นนำฟ่อนครามชุดใหม่มาแช่อีกครั้ง และดำเนินการตามกระบวนการเดิม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น